แนวทางการพัฒนาระบบคมนาคมและขนส่งสำหรับเมืองอัจฉริยะ หรือ เมืองคาร์บอนต่ำ


แนวทางการพัฒนาระบบคมนาคมและขนส่งสำหรับเมืองอัจฉริยะ หรือ เมืองคาร์บอนต่ำ
การพัฒนาระบบคมนาคมและขนส่งสำหรับเมืองอัจฉริยะ หรือ เมืองคาร์บอนต่ำ จะให้ความสำคัญกับความสะดวกในการเดินทาง ระยะทางที่เหมาะสมในการเดินทาง ชนิดของยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง และระบบที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการคมนาคมและขนส่ง การพัฒนาจะมุ่งเน้นให้เกิดการใช้งานยานพาหนะให้น้อยที่สุด และใช้ชนิดของยานพาหนะที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ในระบบคมนาคมและขนส่งนั้น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมาจากการคมนาคมขนส่งส่วนใหญ่มาจากเครื่องยนต์ของรถประเภทต่างๆ โดยปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยจากรถยนต์นั้นจะสามารถวัดได้จาก 3 องค์ประกอบด้วยกันคือ ปริมาณของการจราจร ระยะทางที่ใช้ในการเดินทาง และความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์ ซึ่งมาตรการที่จะทำให้มีการคมนาคมแบบคาร์บอนต่ำนั้น จะต้องเป็นมาตรการสามารถที่ปรับปรุง 3 องค์ประกอบที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น ดังนี้
1. การลดปริมาณของการจราจร โดยการส่งเสริมการเดินหรือการใช้จักรยานรวมถึงการใช้ระบบขนส่งมวลชนในชีวิตประจำวันมากขึ้น เช่น การเดินทางโดยรถไฟ จะมีปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อประชากรน้อยกว่าการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว
2. การลดระยะทางที่ใช้ในการเดินทาง ตัวอย่างเช่น การสนับสนุนให้มีการกระจายความเจริญออกไปสู่บริเวณรอบๆ ของศูนย์กลางของเมืองใหญ่หรือเมืองที่เจริญแล้ว ทำให้เกิดศูนย์รวมการใช้ประโยชน์แบบผสมผสาน (Compact mixed use nodes) กระจายอยู่นอกเมืองใหญ่ ซึ่งจะทำให้มีการเดินทางติดต่อที่สั้นลง
3. การลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์เมื่อเทียบกับระยะของการเดินทาง ทำได้โดยการปรับปรุงสภาพของถนนให้ดีขึ้นเพื่อช่วยให้ระยะเวลาในการเดินทางสั้นลง นำระบบบริหารจัดการจราจรที่เหมาะสมมาใช้ ตลอดจนการสนับสนุนให้มีการใช้รถยนต์ที่มีประสิทธิภาพการที่สูงขึ้น (fuel efficient vehicles) เป็นต้น
มาตรการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่างๆ ในส่วนของภาคคมนาคมขนส่งจะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพได้นั้น จะต้องมีการดำเนินการในทุกด้านพร้อมกัน วิธีการที่สำคัญที่สุดคือการผสมผสานระหว่างการส่งเสริมให้ใช้ประชาชนเปลี่ยนมาใช้ระบบขนส่งมวลชนมากขึ้นและการนำเอาระบบบริหารจัดการจราจรที่มีประสิทธิภาพมาใช้อย่างลงตัว นอกจากนั้น การพิจารณาถึงความเหมาะสมของสถานที่ ตำแหน่ง ขนาดและลักษณะของสถานีเชื่อมต่อในระบบขนส่งมวลชนให้สามารถรองรับความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเช่นเดียวกัน
บทสรุป
เมืองอัจฉริยะเป็นมิติใหม่ของการพัฒนาเมือง ซึ่งครอบคลุมทั้งการพัฒนาเมืองที่มีอยู่เดิมและเมืองที่จะสร้างขึ้นใหม่ โดยอาศัยการกำหนดยุทธศาสตร์เมืองและการวางผังเมืองที่ถูกต้อง สอดคล้องกับวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ที่สามารถเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการเมืองอย่างชาญฉลาดและเป็นอัจฉริยะ ซึ่งจะนำไปสู่มาตรฐานคุณภาพชีวิตที่ดี มีความปลอดภัย มีสวัสดิภาพที่ดี ส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดี ลดการใช้ทรัพยากรพลังงาน เสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมืองอัจฉริยะ ได้ที่โครงการสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities-Clean Energy) www.thailandsmartcities.com
ดำเนินโครงการโดย สถาบันอาคารเขียวไทย
สนับสนุนโครงการโดย กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน  สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน

แนวคิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ สำหรับโครงการวิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน

แนวคิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
สำหรับโครงการวิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน
โครงการสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities - Clean Energy)
ข้อมูลทั่วไปของเมืองที่เข้าร่วมการประกวด
ชื่อเมือง             วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน
พื้นที่ใช้สอยในอาคารรวมทั้งสิ้น 359,450 ตารางเมตร
จำนวนประชากรเทียบเท่า ประมาณ 21,178 คน

ลักษณะ/จุดเด่น ของเมือง

  • Whizdom101 “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” New Community Hub of Bangkok เป็น โครงการ Mix-used project ที่พัฒนาบนเนื้อที่ 43 ไร่ บนถนนสุขุมวิท มูลค่าโครงการ 30,000 ล้านบาท Gross floor area (GFA) ประมาณ 359,450 ตารางเมตร ประกอบไปด้วย ที่พักอาศัย ประมาณ 140,450 ตารางเมตร และอาคารเพื่อการพาณิชย์และพื้นที่สาธารณะประมาณ 212,000 ตารางเมตร
  • โครงการตั้งอยู่เขตชุมชน ย. 7 สีส้ม ที่พักอาศัยหนาแน่นปานกลาง ส่วนขยายของเมือง สุขุมวิทตอนใต้ ติดถนนสุขุมวิทและแนวรถไฟฟ้าใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสปุณณวิถี อยู่ในเขตรัศมีแนวรถไฟฟ้า 500 เมตร เดินทางสะดวกทั้งรถส่วนตัว และระบบขนส่งสาธารณะ โดยโครงการจะมีทางเชื่อมต่อแบบสกายวอล์คจากสถานีปุณณวิถี สามารถเดินเท้าถึงโครงการได้ภายในเวลาเพียง 5 นาท
  • การพัฒนา โครงการมีความประสงค์จะพัฒนาโครงการให้เป็นมากกว่าสิ่งปลูกสร้าง โดยต้องการนำเสนอและส่งมอบไลฟ์สไตล์ รูปแบบคุณภาพชีวิตที่ดีของคนเมือง Mixed-use Urban Neighborhood ภายใต้แนวความคิด“The Great Good Place” ที่ซึ่งเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัว ระหว่างที่อยู่อาศัย ที่ทางาน และที่พักผ่อนเพื่อทากิจกรรมทางสังคมต่างๆ โดยโครงการไม่เพียงมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อาศัยในโครงการเท่านั้น แต่ได้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบโครงการ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
  • โครงการ Whizdom101 มี พื้นที่สีเขียวในโครงการทั้งหมด 30% ของที่ดินทั้งหมด ในรูปแบบ multi-level garden park โดยมุ่งหวังจะคืนพื้นที่สีเขียวให้กับชุมชน รวมไปถึงระบบนิเวศน์ของสัตว์เล็ก สัตว์น้อย เช่น นก ผีเสื้อ กระรอก ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ในโครงการ
  • โครงการ Whizdom101 จัดพื้นสาธารณะให้กับบุคคลภายนอกโครงการ และชุมชนโดยรอบ เพื่อสามารถเข้ามาพักผ่อน และทำกิจกรรมทางสังคมอื่นๆ ทั้งที่สนับสนุนโดยเอกชน และรัฐบาลเพื่อส่งเสริมให้คนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น E- Library ห้องสมุดสาธารณะ , พื้นที่สาธารณะ รวมถึงพื้นที่สีเขียวโดยมี สวนขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่ ในส่วนพื้นที่อาคารพาณิชย์
  • ลู่วิ่ง และเลนจักรยานลอยฟ้าความยาว 1.3 กม. บนอาคาร รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น ตู้ล็อคเกอร์ ห้องอาบน้า ที่เปิดบริการให้บุคคลทั่วไป เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนการออกกาลังกายเพื่อรักษาสุขภาพ
  • ตอบสนองความต้องการของชีวิตคนเมือง และชุมชนโดยรอบด้วย แนวคิด ร้านค้าปลีกรูปแบบใหม่ที่เป็น Innovative Lifestyle Retail โดยมีร้านค้ากว่า 200 ร้าน และมีพื้นที่ที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ลูกบ้าน ผู้เช่าภายในโครงการ และชุนชนโดยรอบได้รับความปลอดภัย และแสงสว่างตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต ด้วยร้านที่ให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้ชีวิต เช่น ธนาคาร ไปรษณีย์ ฯลฯ
  • การออกแบบอาคารโครงการ WHIZDOM 101 เป็นอาคารที่ประหยัดพลังงานทั้งด้าน PASSIVE และ ACTIVE เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โครงการคาดการณ์ว่าทุกอาคารในโครงการผ่านหลักเกณฑ์ ขั้นต่ำ TREES ระดับ Gold ของอาคารเขียว การประเมินความยั่งยืนทางพลังงานและสิ่งแวดล้อมไทย โดย สถาบันอาคารเขียวไทย
  • โครงการมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่น้อยที่สุดอย่างมีประสิทธิภาพ การเชื่อมโครงสร้างพื้นฐานเข้าด้วยกันทั้งประปา ไฟฟ้า คมนาคมขนส่ง บริการสาธารณะของเมืองทำให้แต่ละระบบทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดแบบบูรณาการผ่านระบบ IT เพื่อให้การบริหารจัดการเมืองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  • พื้นที่ในโครงการ ทั้งส่วนสำนักงาน ที่พักอาศัย ร้านค้าปลีก และสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ไลฟ์สไตล์ รวมไปถึงพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมด จะอยู่บนโครงข่ายดิจิทัลแพลตฟอร์ม เดียวกัน ทำให้ที่แห่งนี้มีลักษณะเป็นเมืองดิจิทัลที่เชื่อมประสานกันเป็นเครือข่ายแบบไร้รอยต่อ โดยพื้นที่ทั้งหมดจะสามารถเชื่อมต่อไวไฟ (WiFi) ที่มีความเร็วสูงสุดได้ฟรี ทำให้ทุกคนในสังคมแห่งนี้มีอิสรภาพในโลกดิจิทัลแบบไร้ขีดจำกัด การวางระบบ Cloud เพื่อให้บริการ ซึ่งสามารถใช้งานระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ งานการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ ตลอดจนสามารถให้บริการ Application ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
  • บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในการพัฒนา “ทรู ดิจิทัล พาร์ค” ศูนย์กลางสร้างสรรค์งานวิจัยนวัตกรรม เพื่อสังคมดิจิทัลที่ครบวงจร และสมบูรณ์แบบแห่งแรกของประเทศไทย และแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อตอบสนองนโยบายของภาครัฐที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุค Thailand 4.0 เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัล (Digital Hub)
  • Whizdom 101 จะเป็นสังคมดิจิทัลที่สมบูรณ์แบบแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งผสมผสานพื้นที่สำนักงาน ที่อยู่อาศัย พื้นที่ร้านค้าปลีก และพื้นที่ส่วนรวมที่ตอบสนองการใช้ชีวิตแบบไร้รอยต่อบนดิจิทัล แพลตฟอร์ม




แนวคิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ สำหรับโครงการ มช. (เมือง) มหาวิทยาลัยอัจฉริยะพลังงานสะอาด


แนวคิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
สำหรับโครงการ มช. (เมือง) มหาวิทยาลัยอัจฉริยะพลังงานสะอาด
โครงการสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities - Clean Energy)
ข้อมูลทั่วไปของเมือง
ชื่อเมือง มช. (เมือง) มหาวิทยาลัยอัจฉริยะพลังงานสะอาด
พื้นที่ใช้สอยในอาคารรวมทั้งสิ้น 825,686 ตารางเมตร
จำนวนประชากรเทียบเท่า 896,979 คน
ลักษณะ/จุดเด่น ของเมือง
เมืองมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นเมืองที่มีต้นทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมสูง มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีพื้นที่สีเขียวมากเกินกว่ามาตรฐานกำหนด รวมถึงมีพื้นที่และกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมมากมาย เมืองมีวัตถุประสงค์หลักในการลดผลกระทบและลดภาระด้านสิ่งแวดล้อมต่อเมืองข้างเคียง รวมถึงมุ่งเน้นการเป็นต้นแบบเมืองอัจฉริยะพลังงานสะอาดให้กับเมืองข้างเคียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูมิภาคทางเหนือ
นอกจากนั้นเมืองยังมีนโยบายด้านการบริหารจัดการพลังงานสีเขียวหลายโครงการ ทั้งที่ดำเนินการไปแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินการ อาทิเช่น โครงการผลิตพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์และชีวมวล โครงการลดการใช้รถส่วนตัวในเมือง โครงการขยะเป็นศูนย์ และโครงการรถสาธารณะพลังงานจากขยะ รวมถึงโครงการที่กำลังดำเนินการจัดตั้งอีกมากมาย ได้แก่ โครงการเครือข่ายเมืองอัจฉริยะ (Absolute SMART Control) ที่เน้นการวางระบบเครือข่ายการควบคุม ตรวจสอบ และตรวจวัดระบบของเมืองครบวงจร ทั้งระบบเกี่ยวกับพลังงาน ระบบรักษาความปลอดภัย ระบบการสัญจร และระบบส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชากร เป็นต้น โครงการเพิ่มเครือข่ายการสัญจรสาธารณะ โครงการธุรกิจอัจฉริยะ โครงการปรับปรุงอาคารเดิมให้เป็นอาคารเขียว (TREEs) และจัดทำแผนการก่อสร้างอาคารใหม่ให้เป็นอาคารเขียวระดับยอดเยี่ยม (TREEs-Platinum) เป็นต้น
ทั้งนี้เมืองมหาวิทยาลัยมุ่งเน้นผลประโยชน์ของโครงการในภาพรวมออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ภาพรวมประโยชน์ทางพลังงาน ภาพรวมผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และภาพรวมผลประโยชน์ต่อชุมชน โดยที่เมืองสามารถสร้างผลประโยชน์ทางพลังงานสุทธิได้จากการผลิตพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์และชีวมวลได้ถึงร้อยละ 40 ของปริมาณการใช้พลังงานของเมือง พลังงานสะอาดเหล่านี้นอกจากจะนำมาหักลบกับการใช้พลังงานจากการไฟฟ้าในหมู่บ้านและชุมชนแล้ว เมื่อเหลือใช้ยังสามารถแบ่งปันไปยังหมู่บ้านและชุมชนอื่นๆ ได้อีกด้วย
ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ในภาพรวมเมืองมีเป้าหมายลดผลกระทบในแง่การลดการปลดปล่อยปริมาณคาร์บอน (Carbon reduction) ใน 20 ปี ได้ถึง 32,370.68 tCO2/y คิดเป็นร้อยละ 55.2 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปัจจุบัน (ปี 2559) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ถือได้ว่าเป็นปอดให้กับเมืองและชุมชนรอบข้างได้จากการมีปริมาณพื้นที่สีเขียวร้อยละ 40 นอกจากนั้นยังมุ่งเน้นเป็นต้นแบบการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อมครบวงจรให้กับเมืองข้างเคียงได้พัฒนาสู่สังคมสีเขียวแบบอัจฉริยะ
ผลประโยชน์ต่อชุมชน เป็นที่แน่นอนว่าประชาชนทั้งในเมืองจำนวน 14 หมู่บ้าน และ 6 ชุมชนข้างเคียงจะสามารถใช้ประโยชน์พื้นที่สีเขียวในเมือง มีความสะดวกสบายในการสัญจรเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังมีโอกาสนำระบบการบริหารจัดการในเมืองมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ไปเป็นต้นแบบในการปรับใช้กับชุมชนได้อีกด้วย
ผลประโยชน์ทางเศรษฐศาสตร์ ต่อเมืองรอบข้างประกอบด้วยการลดต้นทุนในการใช้พลังงานโดยเฉพาะไฟฟ้าของเมืองโดยรวมซึ่งทำให้มีปริมาณของไฟฟ้า (electricity supply) เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีที่สนับสนุนเมืองอัจฉริยะยังจะเป็นการสร้างนวัตกรรมและสามารถส่งต่อองค์ความรู้สู่ภาคธุรกิจ (Knowledge transfer) โดยรอบได้ ซึ่งจะสามารถเพิ่มการลงทุนและสร้างรายได้ในเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green growth) ของเมืองโดยรอบ

แนวคิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ สำหรับโครงการนิด้า : มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ รู้รักษ์พลังงาน สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

แนวคิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
สำหรับโครงการนิด้า : มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ  รู้รักษ์พลังงาน  สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
โครงการสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities - Clean Energy)

ข้อมูลทั่วไปของเมือง
ข้อมูลทั่วไปของเมืองที่เข้าร่วมการประกวด
ชื่อเมือง นิด้า : มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ  รู้รักษ์พลังงาน  สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
พื้นที่ใช้สอยในอาคารรวมทั้งสิ้น 180,736 ตารางเมตร
จำนวนประชากรเทียบเท่า 4,040 คน

 ลักษณะ/จุดเด่น ของเมือง
การพัฒนา NIDA Smart Compact City (NIDA 2SC) มีเป้าหมายสูงสุด 5 ด้าน ได้แก่ คุณภาพชีวิตที่
ดี (Quality of Life) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ความโปร่งใส (Transparency) การมีส่วนร่วม (Participation) และความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) โดยมีแผนการดำเนินการในมิติต่างๆ ของเมืองอัจฉริยะดังต่อไปนี้
1.         พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) เป็นการพัฒนาระบบต่างๆ เพื่อลดความต้องการพลังงานและการใช้พลังงานสูงสุด รวมทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน
2.         การสัญจรอัจฉริยะ (Smart Mobility) เป็นการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งภายในและเชื่อมโยงกับภายนอกให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3.         ชุมชนอัจฉริยะ (Smart Community) เป็นการพัฒนาสังคมในอนาคตที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกกลุ่มมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
4.         สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) เป็นการพัฒนาสภาพแวดล้อมโดยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและการลดปัญหาสิ่งแวดล้อม
5.         เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) เป็นการพัฒนาแบบจำลองทางธุรกิจเพื่อประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
6.         อาคารอัจฉริยะ (Smart Building) เป็นการปรับปรุงอาคารตามมาตรฐานอาคารเขียวของ TREES ในระดับ Platinum และการปรับปรุงอาคารให้เป็นอาคารที่มีการใช้พลังงานสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Energy Building)
7.         การบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ (Smart Governance) เป็นการพัฒนาระบบการบริหารจัดการ และสร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
8.         นวัตกรรมอัจฉริยะ (Smart Innovation) เป็นการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อรองรับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ รวมทั้งการพัฒนาย่านนวัตกรรมและวัฒนธรรมบางกะปิ (Bangkapi Innovation and Cultural District)
การดำเนินการพัฒนาโครงการ NIDA Smart Compact City (NIDA 2SC) แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงศักยภาพในด้านต่างๆ ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ซึ่งมีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะต้นแบบ เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยที่มีขนาดกะทัดรัด มีพื้นฐานวิชาการที่เข้มแข็งและมีความพร้อมในทุกด้านทั้งบุคลากร สถานที่ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ และโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การพัฒนาเมืองอัจฉริยะนี้นอกจากจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสถาบันแล้ว ยังเป็นการตอบสนองยุทธศาสตร์ทุกระดับของประเทศไทยในปัจจุบันอีกด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน อันมีส่วนสำคัญในการทำให้ประชากรไทยในอนาคตมีศักยภาพในการร่วมกันพัฒนาประเทศ สามารถปรับตัวรองรับบริบทการพัฒนาในอนาคต มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง และเป็นรากฐานที่มั่นคงของชุมชนและสังคมไทยต่อไป

โครงการธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต : ต้นแบบเมืองมหาวิทยาลัยอัจฉริยะ


แนวคิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ

สำหรับโครงการธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต : ต้นแบบเมืองมหาวิทยาลัยอัจฉริยะ

โครงการสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities - Clean Energy)

ข้อมูลทั่วไปของเมือง

ชื่อเมือง             ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต : ต้นแบบเมืองมหาวิทยาลับอัจฉริยะ

พื้นที่ใช้สอยในอาคารรวมทั้งสิ้น 2,589,814  ตารางเมตร

จำนวนประชากรเทียบเท่า 33,060 คน


ลักษณะ/จุดเด่น ของเมือง

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา พื้นที่โครงการ 1,757 ไร่ ตั้งอยู่ในเขตคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มุ่งมั่นจะผลิตบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศทางวิชาการ และมีคุณธรรม เพื่อนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอย่างรับผิดชอบต่อสังคม พื้นที่ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิตเป็นพื้นที่ของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างประชาคมธรรมศาสตร์ นักศึกษาคณาจารย์ ในศาสตร์สาขาวิชาต่างๆ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างสถาบัน สร้างพื้นที่การวิจัยแบบบูรณาการ มีศูนย์วิจัยที่พร้อมด้วยเทคโนโลยีและบุคลากร เพื่อพัฒนาและสร้างเครือข่ายองค์ความรู้ในด้านต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาและนำเสนอแนวทางพัฒนาที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน อีกทั้งเป็นพื้นที่ที่คณาจารย์ บุคลากรและนักศึกษา มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานที่พร้อมในการรองรับวิถีชีวิต พร้อมทั้งมีพื้นที่ทำกิจกรรมนันทนาการ กีฬา ศิลปวัฒนธรรม ในสภาพแวดล้อมที่มีระบบนิเวศสมบูรณ์ ร่มรื่นน่าอยู่ ประชาคมอยู่อาศัยในสังคมธรรมศาสตร์อย่างมีความสุข และพร้อมแบ่งปันวิถีชีวิตดีๆ ให้กับชุมชนโดยรอบและสังคมโดยรวม ผ่านกิจกรรมและกระบวนการการมีส่วนร่วมตามอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ได้จัดทำการปรับปรุงผังแม่บท ศูนย์รังสิตระยะยาว พ.ศ.2577 (ธรรมศาสตร์ 100 ปี) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาเชิงกายภาพด้านการขาดศูนย์กลางชุมชน และความไม่ชัดเจนของการสื่ออัตลักษณ์ธรรมศาสตร์ พร้อมกับเตรียมปรับระบบพื้นที่ทั้งหมดให้สอดคล้องกับการใช้งานในปัจจุบันและแผนการพัฒนาในอนาคต โดยเฉพาะประเด็นด้านการเชื่อมต่อพื้นที่มหาวิทยาลัยเข้ากับสถานีรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง โดยการจัดกระบวนการการมีส่วนร่วมกับผู้บริหารและประชาคมธรรมศาสตร์เพื่อทบทวนนโยบายและวางเป้าหมายธรรมศาสตร์ 100 ปี ร่วมกันกำหนดแนวคิดเบื้องต้นในการพัฒนาและจัดทำผังแม่บท ก่อให้เกิดทิศทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่มีแผนรองรับการพัฒนาด้วยหลักการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาและอนุรักษ์สภาพแวดล้อมตามแนวคิด “เมืองมหาวิทยาลัยสีเขียวยั่งยืน”(Sustainable Campus Town)

แนวคิดของโครงการ (Concept)

เพื่อเสริมสร้างอัตลักษณ์และบทบาทที่ชัดเจนของศูนย์รังสิต ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ธรรมศาสตร์ 100 ปี ผู้บริหารและประชาคมธรรมศาสตร์จึงมีแนวคิดในการสร้างศูนย์รังสิตให้เป็น “สังคมแห่งการเรียนรู้อย่างยั่งยืน เพื่อรับใช้ประชาชน และผู้อยู่มีความสุข” โดยมี 5 แนวทางหลักในการพัฒนาพื้นที่ ได้แก่การเป็น

- ศูนย์ธรรมศาสตร์เพื่อประชาชน (Center for the People)

- ชุมชนแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Learning Community)

- เมืองมหาวิทยาลัยสีเขียวที่ยั่งยืน (Sustainable Campus Town)

- มหาวิทยาลัยแห่งความสุข (Joyful Campus)

- ศูนย์กลางบ่มเพาะเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy Campus)

การปรับปรุงผังแม่บทมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พ.ศ. 2577 มุ่งเน้นไปที่การปรับโครงหลักของผังให้เหมาะสม ได้แก่ การแบ่งส่วนพื้นที่ การสัญจร พื้นที่เปิดโล่งสีเขียว แกนเอกลักษณ์ จุดรวมกิจกรรม และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อสร้างความเป็น "เมืองธรรมศาสตร์" ที่เชื่อมโยงกันด้วย 3 องค์ประกอบสำคัญ คือ ศูนย์ธรรมศาสตร์บริการ ต้นแบบเมืองมหาวิทยาลัย และสวนธรรมศาสตร์สาธารณะ

1. ศูนย์ธรรมศาสตร์บริการ เพื่อสะท้อนถึงอัตลักษณ์ดั้งเดิมของมหาวิทยาลัย จึงส่งเสริมการใช้งานและปรับลักษณะทางกายภาพของการเป็น “ศูนย์ธรรมศาสตร์เพื่อประชาชน” ในบริเวณ “ด้านหน้า”ทุกๆด้านของมหาวิทยาลัย โดยให้มีลักษณะ

เปิดรับต่อชุมชนภายนอกและมีการใช้งานที่เอื้อต่อการบริการประชาชนอย่างเต็มที่ ได้แก่ บริเวณทิศตะวันออก (ถนนพหลโยธิน) ให้เป็นพื้นที่การบริการวิชาการด้านการส่งเสริมสุขภาพและรักษาพยาบาล บริการห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ และส่งเสริมความรู้ด้านธุรกิจ บริเวณทิศตะวันตก (สถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง) ให้เป็นพื้นที่เชิงพาณิชยกรรมแบบผสมผสาน เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาคุณภาพชีวิต และบริเวณทิศใต้ (ถนนเชียงราก) ให้เป็นพื้นที่บริการด้านนันทนาการ กีฬาและวัฒนธรรม

2. ต้นแบบเมืองมหาวิทยาลัย ครอบคลุมพื้นที่ส่วนการศึกษาและส่วนพักอาศัย ซี่งตั้งอยู่บริเวณใจกลางมหาวิทยาลัยและเป็นหัวใจสำคัญของสถาบันการศึกษาและ การปรับพื้นที่คำนึงถึงการใช้งานที่ครบถ้วน สะดวกสบาย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความสะดวกในการเดินเท้า การใช้จักรยานและระบบขนส่งมวลชน สร้างความใกล้ชิดของกลุ่มคณะต่างๆ เพื่อให้เกิด“ศูนย์รวม” ที่ชัดเจนทั้งด้านกิจกรรม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการสร้างสุนทรียภาพในการใช้ชีวิต รวมทั้งส่งเสริมการใช้ถนนตลาดวิชาและถนนยูงทองเพื่อสร้างการเชื่อมโยงทางกายภาพกับสถาบันเพื่อนบ้าน ได้แก่ สวทช. และ A.I.T. ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการก่อให้เกิด “ต้นแบบเมืองมหาวิทยาลัย” อย่างแท้จริง

3. สวนธรรมศาสตร์สาธารณะ องค์ประกอบหลักทั้ง 2 ส่วน ทั้งด้านการบริการประชาชนและด้านการศึกษา จะเชื่อมโยงเข้าหากันด้วย “สวนธรรมศาสตร์สาธารณะ” ได้แก่ พื้นที่ส่วนนันทนาการ กีฬาและวัฒนธรรม และพื้นที่ส่วนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ โดยยึดแนวทางการจัดการพื้นที่สีเขียวภายในศูนย์รังสิตให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งด้านกิจกรรมพักผ่อนนันทนาการ พบปะสังสรรค์ การอนุรักษ์ฟื้นฟูระบบนิเวศ และการใช้งานด้านสาธารณูปโภค โดยการสร้างให้เกิด โครงข่ายสีเขียว (Green Network) ที่เชื่อมโยงคนทุกกลุ่มและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ให้อยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล

โครงการตามผังแม่บทนี้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัย 3 ด้านหลัก ได้แก่

1. ด้านกายภาพ: เกิดการแก้ปัญหาและนำไปสู่การพัฒนาที่สื่อเอกลักษณ์ เป็นที่รับรู้ยอมรับและได้รับการสนับสนุนจากประชาคมมหาวิทยาลัย

2. ด้านการบริหารจัดการ: เกิดการวางแผน ทบทวนระบบบริหารจัดการด้านระบบกายภาพในมหาวิทยาลัย โดยยึดหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

3. ด้านการมีส่วนร่วมของประชาคมธรรมศาสตร์: เกิดความร่วมมือและประสานงานในทุกระดับและขั้นตอน ของการจัดทำแผนพัฒนากายภาพเพื่อลดปัญหาความขัดแย้ง ส่งเสริมใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างคุ้มค่า

แนวคิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ สำหรับโครงการขอนแก่น Smart City (ระยะที่ ๑) : ขนส่งสาธารณะเปลี่ยนเมือง

แนวคิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะสำหรับโครงการขอนแก่น Smart City (ระยะที่ ๑) : ขนส่งสาธารณะเปลี่ยนเมืองโครงการสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities - Clean Energy)

ข้อมูลทั่วไปของเมือง

ชื่อเมือง ขอนแก่น Smart City (ระยะที่ 1) : ขนส่งสาธารณะเปลี่ยนเมือง
พื้นที่ใช้สอยในอาคารรวมทั้งสิ้น 803,207  ตารางเมตร
จำนวนประชากรเทียบเท่า 155,909 คน

ลักษณะ/จุดเด่น ของเมืองที่
นับตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2504 - 2509) จังหวัดขอนแก่นถูกกำหนดให้เป็นเมืองสำคัญและเป็นเมืองศูนย์กลางด้านต่างๆ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้มีการวางรากฐานการพัฒนาจังหวัดอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งได้รับการพัฒนาองค์ประกอบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับบทบาทการเป็นเมืองศูนย์กลางของภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ (Regional Center) ส่งผลให้ในปัจจุบันจังหวัดขอนแก่นเป็นศูนย์กลางความเจริญในทุกด้านของภูมิภาค ทั้งในด้าน การศึกษา การค้าและบริการ การเงิน การแพทย์อุตสาหกรรม คมนาคมและโลจิสติกส์ ในกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหา ที่อาจเกิดขึ้นจากการพัฒนาอย่างไร้ทิศทาง เช่น ปัญหาการจราจร ปัญหาปริมาณขยะ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ จังหวัดขอนแก่นจึงได้มีการกำหนดกรอบทิศทาง การพัฒนาให้มีความชัดเจนและรัดกุมเพื่อให้สามารถนำศักยภาพภายที่มีใช้พัฒนาเมืองทั้งในเชิงรุกและเชิงรับได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้การพัฒนาจังหวัดเป็นไปอย่างยั่งยืน เกิดประโยชน์สุขที่แท้จริงต่อประชาชนและก้าวสู่ความเป็นมหานครแห่งอาเซียน
นอกจากนั้นแล้ว เมืองขอนแก่นยังมีศักยภาพด้านการเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ตามระเบียงเศรษฐกิจ (EWEC) กลุ่มประเทศเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor หรือ EWEC) เป็นการเชื่อมโยงระหว่าง 5 ประเทศ คือ จีน เวียดนาม ลาว ไทย และพม่า โดยจังหวัดขอนแก่นเป็นจุดผ่านที่สำคัญของโครงข่ายคมนาคมที่เชื่อมโยงนานาประเทศดังกล่าว ซึ่งจะเป็นโอกาสในการเข้าถึงตลาดต่างประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมและการบริการของไทย อำนวยความสะดวกด้านการค้าข้ามพรมแดน และขยายฐานการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้านและติดต่อกับชาติอื่นๆ มากขึ้น ทำให้ ปัจจุบันนี้เมืองขอนแก่นได้กำหนดให้เป็น MICE CITY (MICE ย่อมาจากแนวคิดด้าน Meeting, Incentive, Conventions, and Exhibition) กิจกรรมเหล่านี้จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนสภาพคล่องทางเศรษฐกิจและรายได้ให้กับชาวเมืองขอนแก่นเพิ่มมากขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่งผลให้พื้นที่เมืองขอนแก่นมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกันได้ก่อให้เกิดปัญหาหลายด้าน อาทิ ปัญหาจราจร ปัญหาการจัดการขยะ การลดลงของพื้นที่สีเขียว เป็นต้น ปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิดภาระหน้าที่ และบทบาทของเทศบาลนครขอนแก่น ซึ่งมีความจำเป็นต้องพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนซึ่งถือเป็นการบริหารกิจการบริการสาธารณะพื้นฐาน จากการที่เมืองขอนแก่นเป็นเมืองที่มีหลากหลายบทบาท เมืองมีการขยายเติบโตอย่างรวดเร็ว
เมื่อผนวกเข้ากับวิสัยทัศน์ของเทศบาลนครขอนแก่นทำให้มีความจำเป็นต้องมีการบริหารเชิงพื้นที่ และการบริหารจัดการในรูปแบบของความเป็นเมืองสร้างสรรค์(Smart City) ซึ่งเทศบาลนครขอนแก่นมีองค์ประกอบแห่งความสำเร็จหลายประการที่สามารถนำรูปแบบการบริหารจัดการเชิงสร้างสรรค์มานำร่องปรับใช้กับเมืองได้ โดยเฉพาะกระบวนการมีส่วนร่วมภาคประชาชนหรือกับองค์กรเอกชน ได้แก่ บริษัท ขอนแก่นพัฒนาเมือง(เคเคทีที) จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มนักธุรกิจชั้นแนวหน้าของจังหวัดขอนแก่น ทั้งหมดกว่า 20 บริษัท รวมตัวเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดตนเองในเชิงออกแบบและพัฒนาเมือง อย่างถูกหลักวิชาการ เพื่อรองรับบทบาทของเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต สามารถตอบสนองต่อพลวัตของเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสถานการณ์ในการพัฒนาเมืองสู่สากล สร้างสังคมแห่งความสุขได้นั้นทางเทศบาลนครขอนแก่น กับ บริษัท ขอนแก่นพัฒนาเมือง(เคเคทีที) จึงเกิดเป็นแนวคิดพัฒนาแบบโครงข่ายระบบขนส่งสาธารณะ 5 เส้นทาง Mobility Drives City เพื่อทำให้เกิดการพัฒนา TOD และ การฟื้นฟูย่านใจกลางเมืองปัจจุบันCBD สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นของเมืองขอนแก่น จึงเป็นเหตุผลและความสำคัญของการศึกษาโครงการ “โครงการขอนแก่น Smart City(ระยะที่ 1) ก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนระบบรางเบาสายเหนือ-ใต้ ต้นแบบในเมืองภูมิภาคจังหวัดขอนแก่นพร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างเมืองและการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยการลงทุนจากภาคเอกชนเพื่อการสร้างโครงสร้างเมืองอย่างนำสมัยและยั่งยืน"

แนวคิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ สำหรับโครงการเมืองจุฬาฯอัจฉริยะ


แนวคิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ

สำหรับโครงการเมืองจุฬาฯอัจฉริยะ
โครงการสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities - Clean Energy)

ข้อมูลทั่วไปของเมือง

ชื่อเมือง             เมืองจุฬาฯ อัจฉริยะ
พื้นที่ใช้สอยในอาคารรวมทั้งสิ้นโดยประมาณ 1,800,000 ตารางเมตร

ลักษณะ/จุดเด่น ของเมือง
โครงการพัฒนาพื้นที่เขตพาณิชย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริเวณสวนหลวง- สามย่าน ถือเป็นการพัฒนาพื้นที่ ที่เป็นกรรมสิทธิ์ที่ดินขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวในเขตพาณิชยกรรมศูนย์กลางเมืองของกรุงเทพมหานคร ที่อยู่ติดกับพื้นที่สถาบันการศึกษา ด้วยขนาดพื้นที่ถึง 291 ไร่ จากที่ดินทั้งหมด 1,153 ไร่ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย นับได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งเดียวของโลก ที่มีอาณาเขตกว้างขวาง และตั้งอยู่ในศูนย์กลางเมืองหลวงของประเทศ
การที่โครงการพัฒนาพื้นที่เขตพาณิชย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริเวณสวนหลวง- สามย่าน จะกลายเป็นพื้นที่ตัวอย่างของ “เมืองอัจฉริยะ” ในบริบทของพื้นที่พาณิชยกรรมศูนย์กลางเมืองหลวง นอกจากจะส่งผลทางด้านบวกกับคนเป็นจำนวนมากในพื้นที่เมืองที่มีความหนาแน่นสูง ทั้งในทุกมิติอัจฉริยะของการจัดการพลังงาน การสัญจร ชุมชน สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ อาคาร รวมทั้งการบริหารจัดการเมือง และการสร้างนวัตกรรมเมืองแล้ว ในวาระที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 2 แห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2560 พื้นที่ ”เมืองจุฬาอัจฉริยะ” นี้ ยังจะมีบทบาทในการชี้นา และสร้างแรงบันดาลใจ ให้กับคนในสังคม โดยเป็นพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาพื้นที่เขตพาณิชยกรรมศูนย์กลางเมือง ที่เน้นกำไรจากการสร้างนวัตกรรมทางสังคม มากกว่าการสร้างรายได้ทางธุรกิจแต่เพียงอย่างเดียว สมกับบทบาทในฐานะ “มหาวิทยาลัยของแผ่นดิน” ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้สถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ต้องสืบสานบทบาทของการเป็น “เสาหลัก” ของแผ่นดิน และสามารถเป็นจุดอ้างอิง และชี้ทิศทางสำหรับการพัฒนาประเทศได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน
ที่สำคัญ การเป็นพื้นที่เมืองอัจฉริยะในเขตพาณิชยกรรมศูนย์กลางเมืองเพียงแห่งเดียว ที่มีนโยบายการพัฒนาและการบริหารจัดการควบคู่ไปกับสถาบันการศึกษา อย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้พลวัตของการถ่ายทอดความรู้เชิงวิชาการ สู่การสร้างนวัตกรรมทางสังคมผ่านการพัฒนาพื้นที่ สามารถดำเนินการได้อย่างมั่นคง แน่นอน และเป็นรูปธรรม หากวัตถุประสงค์ที่สำคัญและยั่งยืนที่สุดในการสร้างเมืองอัจฉริยะ ที่นอกเหนือไปจากการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีใดๆ คือ ความสามารถในการพัฒนาสังคมอัจฉริยะ ที่ประกอบไปด้วย “คน” ที่มีจิตสานึกอย่างอัจฉริยะ พื้นที่เมืองจุฬาอัจฉริยะนี้ จะช่วยยกระดับการเรียนการสอน สนับสนุนงานวิจัยและพัฒนา พฤติกรรมของนิสิตและบุคลากรอย่างเต็มศักยภาพ สามารถแลกเปลี่ยน ถ่ายทอดความรู้เชิงวิชาการ จากมหาวิทยาลัยสู่สังคมภายนอกอย่างแท้จริงและเป็นรูปธรรม อาทิ นวัตกรรม ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการแพทย์ ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สามารถพัฒนานวัตกรรมร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัย กับสถาบันการศึกษาอื่นๆ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้มาต่อยอดในเชิงธุรกิจ ผ่านการพัฒนาพื้นที่พาณิชยกรรมศูนย์กลางเมืองที่ตั้งอยู่เคียงคู่กับพื้นที่การศึกษาเพียงแห่งเดียวของกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะเป็นพื้นที่เมืองอัจฉริยะ ที่มีศักยภาพรองรับความเปลี่ยนแปลงจากพลวัตของสิ่งแวดล้อมโลก และพลวัตของคนรุ่นใหม่จากมหาวิทยาลัยที่หล่อเลี้ยงเข้ามาในพื้นที่ตลอดไป